- รายการต่อมา ศ.นพ.ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย ได้นำเสนอ Overall Performance ของมหาวิทยาลัยมหิดล เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, University of Malaya, National University of Singapore, Osaka University และ University of Wisconsin โดยใช้ฐานข้อมูล SciVal ของ Elsevier เปรียบเทียบเป็นรายสาขา เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วัสดุศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ฯลฯ
- ข้อมูลที่นำเสนอ ได้วิเคราะห์ค่า h index ของแต่ละสถาบัน ค่า SNIP (Source-normalized Impact per Page) ซึ่งเป็นดัชนีวัดคุณภาพของวารสารแบบใหม่ ตามสไตล์ของ Elsevier แสดงกราฟเปรียบเทียบผลงานวิจัยของแต่ละสถาบันว่าตีพิมพ์ในวารสารที่มีคุณภาพดีแค่ไหน โดยวัดจำนวนวารสารที่อยู่ใน TOP 10% SNIP, TOP 25% SNIP ของแต่ละสาขา เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก
- ดูๆไปแล้ว ผลงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานของมหิดลยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และที่น่าเป็นห่วงมากคือ computer science ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญของวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และเทคโนโลยี อาจารย์ประเวศ กล่าวว่า ประเทศไทย ตราบใดที่ basic science ไม่แข็ง จะทำ engineering ระดับยากๆ คงไม่ได้ ต้องเสียเงินจ้าง consultant จากต่างประเทศ มาแก้ปัญหาอยู่ร่ำไป …
- ในระยะหลังๆมาเลเซียเติบโตอย่างก้าวกระโดด แซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว เห็นว่างบประมาณวิจัยของประเทศนี้ใช้มากถึง 1% ของ GDP
- เป็นที่น่าสังเกตว่า สาขาวิชาที่มหิดลสามารถขึ้นไปติดอันดับ TOP ของโลกได้ คือ parasitology หรือโรคเขตร้อน
- ก่อนจบการประชุม ได้ข้อสรุปว่า ทรัพยากรของเรามีมาก เราลงทุนไปเยอะโดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเราจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ออกมาได้ดีพอ คงต้องพยายามหาทางกันต่อไป ต้องแก้ปัญหาโครงสร้างแนวดิ่ง ต้องสร้างเครือข่ายแบบ virtual network ต้องหาเรื่องที่มี potential มาพูดคุยกัน คือมีทั้ง team และ theme ..
- อาจารย์ประเวศเน้นย้ำหลายครั้งว่า ควรหาหนังสือเล่มนี้มาอ่าน One From Many: VISA and the Rise of Chaordic Organization ของ Dee Hock หรือจะอ่านที่แปลเป็นภาษาไทยก็ได้ ชื่อหนังสือ “จากหลากหลายกลายเป็นหนึ่ง” (อาจารย์เขียนคำนิยมให้) .. เป็นเรื่องของ Dee Hock เด็กยากจนที่ไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ต่อมากลายเป็นผู้ก่อตั้งและซีอีโอคนแรกของ VISA ธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีธนาคารและบริษัททั่วโลกเข้ามาเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ทางราบ ไม่มีใครมีอำนาจเหนือใคร เป็นองค์กรที่เรียกว่า Chaordic ซึ่งมาจากคำว่า Chaos (โกลาหล ไร้ระเบียบ) บวกกับคำว่า Order (มีระเบียบ) เมื่อไม่มีใครควบคุมเริ่มต้นอาจโกลาหล แต่ในที่สุดมันจะสามารถจัดระเบียบลงตัวได้เอง เป็น Self-organization … ซึ่งเป็นวิถีคิดใหม่โดยสิ้นเชิง
คงต้องหามาอ่านบ้างแล้วเรา …