เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญของการประเมินคุณภาพผลงานวิจัยในบ้านเรา ในขณะนี้ คือ การที่มีสำนักพิมพ์ประเภท Open Access เกิดใหม่จำนวนมาก ส่ง e-mail มาชักชวนให้ร่วมเป็นกองบรรณาธิการ เชิญเป็น reviewer หรือส่งบทความไปตีพิมพ์ และส่วนใหญ่จะเป็นสำนักพิมพ์ชื่อแปลกๆที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อนทั้งสิ้น เหตุการณ์อุบัติใหม่นี้ เป็นระบบธุรกิจวารสาร ที่เรียกว่า Author-pay คือผู้แต่งจ่าย คนอ่านอ่านฟรี ซึ่งแตกต่างจากระบบธุรกิจวารสารแบบดั้งเดิม คือระบบการบอกรับเป็นสมาชิก (Subscription fee) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียง และมีระบบ peer-review ที่เข้มแข็งมาก แต่ข้อเสียคือ ราคาวารสารแพงมาก และแพงมากขึ้นเรื่อย จนกระทั่งเกิดวิกฤติที่เรียกว่า serials crisis นั่นเป็นสาเหตุของการเกิดสำนักพิมพ์หน้าใหม่ที่เรียกว่า Open Access Publishers ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
ตอนแรก OA Publishers ทำตัวเหมือน “เทพ” ที่มาแก้ปัญหาสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ที่ทำตัวเป็นมาเฟีย ผูกขาดวงการวารสารวิชาการ อย่างเช่น Elsevier แต่หลายปีผ่านไป ตอนนี้ “เทพ” ทำท่าจะกลายเป็น “มาร” ไปแล้ว เพราะระบบอินเทอร์เน็ต และโปรแกรมสร้างระบบวารสารแบบ OA ที่หาได้ง่ายและฟรี เป็นปัจจัยช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้างสำนักพิมพ์แบบต้นทุนต่ำ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลาย ต่อมามีพ่อค้าหัวใสได้เริ่มใช้วิธี e-mail marketing เหวี่ยงร่อนจดหมายเชิญชวนนักวิจัยทั่วโลก (การหา e-mail ของผู้แต่งทำได้ไม่ยาก เพราะปรากฎอยู่ทั่วไปใน e-journals, e-databases) สร้างความรำคาญและสร้างความงงงวยอย่างยิ่ง เพราะวันหนึ่งได้รับถึง 5-6 ฉบับก็มี แถมแจ้งสนนราคาว่า ค่าตีพิมพ์ 40,000 บาท รับประกันไม่มี reject หรือไม่ก็เชิญให้เป็น reviewer แบบสุ่มชื่อไปเรื่อย ทำให้วารสาร OA ที่เคยเป็นเทพ ทำท่าจะมัวหมองไปซะแล้ว
สถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตของวารสารวิชาการแบบ OA จะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง ..
หากย้อนกลับไปดูอดีต อันที่จริงเรื่อง open access (OA) มีมาตั้งแต่สมัยปี 1966 โน่นแล้ว เมื่อครั้งฐานข้อมูล ERIC เปิดให้บริการฟรี และตามมาด้วย MEDLINE (ซึ่งมีตั้งแต่ปี 1966 แต่ตอนแรกไม่ฟรี มาเปิดให้ใช้ฟรีบนอินเทอร์เน็ตเมื่อปี 1997 ในชื่อ PubMed) ต่อมาในปี 2000 เกิดแหล่งข้อมูลที่ให้บริการบทความวารสารแบบ free access เช่น PubMedCentral และสำนักพิมพ์วารสารวิชาการแบบ OA แห่งแรกที่ชื่อว่า BioMedCentral และในปี 2001 เกิดสารานุกรมเสรี Wikipedia
พอมาถึงปี 2002 สำนักพิมพ์ BioMedCentral ก็เริ่มใช้ระบบธุรกิจแบบ Author-pay เข้ามา เพื่อให้มีรายได้ในการดำเนินการ ปัจจุบัน BioMedCentral ถูกสำนักพิมพ์ Springer ซื้อกิจการไปแล้ว (เมื่อปี 2008) และขยายสาขาออกไปเป็น ChemistryCentral, และ PhysMathCentral
ปี 2002 เกิดสำนักพิมพ์ Public Library of Science (PLoS) และผลิตวารสารแบบ OA ชื่อแรกเมื่อปี 2003 คือ PLoSBiology (ต่อมามีชื่ออื่นตามมา เช่น PLoSMedicine, PLoS ONE) ในปีเดียวกันนั้น ได้เกิดแหล่งรวมรายชื่อวารสาร OA Directory of Open Access Journals (DOAJ) ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งรวมวารสารขนาดใหญ่และได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
ตั้งแต่ปี 2004 มาจนถึงปัจจุบัน สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็น traditional journal publishers ก็เริ่มเล่นหันมาเล่นระบบ Author-pay บ้าง ในลักษณะของ Hybrid Journal Program เช่น SpringerOpen, Oxford Open, RSC Open Science, BMJ Open, WorldSciNet OPEN ACCESS, และ Bentham Open ในปี 2007
ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา เป็นช่วงของการแพร่ระบาดของสำนักพิมพ์แบบ OA-only Publishers หรือ Gold OA อย่างรวดเร็ว มีสำนักพิมพ์หน้าใหม่เกิดขึ้น เช่น Hindawi, MDPI, OMICS, DovePress, ANSInet ฯลฯ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่าง Elsevier เริ่มกำหนดทีท่าของตน ปรากฎในเว็บ Elsevier’s position on Access และเมื่อปี 2008 จึงเกิดสมาคม The Open Access Scholarly Publishers Association (OASPA) ขึ้นมา เพื่อกำหนดกฎ กติกา มารยาท และกำกับดูแลสำนักพิมพ์ OA ให้เข้ารูปเข้ารอยกันมากขึ้น
แน่นอนว่า มีวารสาร OA บางชื่อที่เข้าไปอยูู่ในฐานข้อมูลสากล อย่าง Scopus หรือแม้กระทั่ง ISI Web of Science และมีค่า Impact Factor ได้ แต่ไม่ใช่ทุกชื่อ ที่เข้าไปใน ISI-WOS ได้แล้ว ตัวอย่างเช่น Molecules และ International Journal of Molecular Sciences ของสำนักพิมพ์ MDPI และ EXCLI Journal วารสาร OA ของ Univ Mainz เป็นต้น … มีบทความวิจัยที่น่าสนใจ ซึ่งศึกษาพบว่า การที่บทความจะได้รับการอ้างอิงสูงหรือไม่ มันไม่ขึ้นอยู่กับว่าวารสารจะเป็น traditional หรือ OA แต่มันขึ้นอยู่กับคุณภาพและชื่อเสียงของวารสารมากกว่า [ อ่านรายละเอียดได้จากบล็อกย้อนเหลัง เรื่อง วารสาร Open Access ในฐานข้อมูล Scopus ]
และอ่านบทสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัท Reed Elsevier ว่า OA จะเป็นภัยคุกคามต่อบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้หรือไม่ ได้ที่ http://poynder.blogspot.com/2010/06/reed-elsevier-need-for-progressive.html
อ้างอิง: http://oad.simmons.edu/oadwiki/Timeline