อ่านหนังสือ “วิธีอยู่ร่วมกับ KPI อย่างสันติ” ของ ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่ซื้อมาจากร้านหนังสือนายอินทร์ สาขาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อหลายเดือนก่อน หยิบมาอ่านใหม่ แล้วได้ไอเดียหลายอย่างเกี่ยวกับ ดัชนีวัดผลงาน Key Performance Indicator (KPI) จึงขอนำมาบันทึกไว้ที่นี่ค่ะ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
- KPI ที่ดี ต้องทำให้งานได้ผล คนเป็นสุข และไม่ทำร้ายโลก
- อย่าเอา KPI มาวัดเพื่อขึ้นเงินเดือน ตำแหน่ง หรือให้โบนัส เพราะจะทำลายขวัญและกำลังใจเสียเปล่าๆ
- KPI ควรมีพลวัต (dynamic) ปรับเปลี่ยนแผนได้ตามสถานการณ์จริง ไม่ใช่แข็งทื่อ หาแพะรับบาป จัดฉาก และสร้างตัวเลข
- แท้จริงแล้ว KPI มีไว้เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาผลงานขององค์กรให้ดียิ่งๆขึ้นไป เพื่อให้องค์กรเดินไปสู่เป้าหมายได้ อย่าไปห่วงแต่การทำคะแนนให้สูง คะแนนเป็นเพียงผลลัพธ์เท่านั้น อย่าเอาเป็นเอาตายกับผลลัพธ์ให้มากนัก
- สิ่งที่ต้องพัฒนาก่อน คือ การพัฒนากระบวนการ ถ้ากระบวนการดี ผลลัพธ์ย่อมดีแน่นอน กระบวนการ สำคัญกว่าผลลัพธ์
- สิ่งที่ทุกคนต้องทำคือ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ลืมเป้าหมาย เดินต่อไป แก้ไขกระบวนการ และสร้างยุทธศาสตร์ที่ดี
- ในมุมมองของนักบริหาร คนที่ไม่ทำ KPI คือ คนที่ไม่มีระบบ บริหารงานด้วยความรู้สึก ซึ่งอาจจะมั่วหรือเพี้ยนได้ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่
- KPI ควรนำมาใช้กับการวางแผนยุทธศาสตร์ มีไว้ปรับเปลี่ยนแผนการให้เป็นไปตามสถานการณ์ มากกว่าการนำมาวัดคน
- เล่นเป็นทีม ทำตามแผนยุทธศาสตร์ ไม่ใช่บ้า job description พิจารณาคุณลักษณะของผู้เล่นในทีม ทั้งในเรื่องของเทคนิคการทำงาน จิตใจ และร่างกาย
- บางครั้ง KPI ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เพราะบางเรื่อง เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เป็นนามธรรม
- ทำ KPI อย่าสนใจแต่ผลลัพธ์ ให้มองไปที่การตรวจวัดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ (key behavior) มากกว่าผลลัพธ์ที่ได้
- ผู้บริหารต้องเข้าใจธรรมชาติของคน ต้องใช้การสนทนา (dialogue)
- ยิ่งมี KPI ละเอียด ยิ่งทำให้เกิดบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจในที่ทำงานมากยิ่งขึ้น
- สิ่งที่ผู้บริหารต้องทำ คือ เปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ ไม่ใช่เปลี่ยนสถานการณ์ให้เข้ากับตัวเอง
- ถึงแม้จะใช้ KPI แบบโหดๆ แต่ด้านหนึ่งก็รุกด้วยความรักและหวังดี ไม่ใช่ตำหนิทำให้พนักงานเสียขวัญและกำลังใจ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็รุกด้วย KPI วัดผล แบบนี้ถึงจะไปรอด
- KPI มีไว้เพื่อหาตัวแปร ไม่ใช่หาคนผิด
- นิสัยผู้บริหารเป็นอย่างไร องค์กรก็เป็นอย่างนั้น — ขยันแต่ไม่พัฒนาคน หมดเวลากับเรื่องเดิมๆ / ขี้ขลาด ขี้กลัว ไม่ไว้ใจใคร / เมตตาแต่ขาดสติ ใจดีเกินไป / โหดร้ายใจดำ เก่งแต่ไม่มีเมตตา
- ปรัชญาในการทำงาน ที่ควรมี คือเมตตาธรรม และ ฆราวาสธรรม 4 ได้แก่
- สัจจะ = รักษาคำพูด เป็นคนตรง หรือเป้าหมายชัดเจน
- ทมะ = พัฒนาไม่ตนเองหยุดยั้ง ภาษาญี่ปุ่น ตรงกับคำว่า Kaizen
- ขันติ = อดทน มองอะไรที่เป็นด้านบวกด้วยใจจริง
- จาคะ = เอาความตระหนี่ออกจากตัวเรา ยิ่งให้ยิ่งได้ ให้ทำบุญกับคนใกล้ตัวก่อนไปทำบุญกับคนอื่น
- สัตว์ 4 แบบ คน 4 จำพวก
- หมี (ธาตุดิน) นักคิด
- หนู (ธาตุน้ำ) นักประสานงาน
- อินทรี (ธาตุลม) นักวางแผน
- กระทิง (ธาตุไฟ) นักปฏิบัติ
- โพชฌงค์ 7 – กระบวนการสู่ความสำเร็จ
- สติ = ตั้งหลัก เตรียมพร้อม รู้เขารู้เรา สร้างขวัญกำลังใจ ตั้งเป้าหมาย
- ธัมมวิจยะ = ศึกษายุทธศาสตร์ กำหนดกระบวนการ อย่าหลงข้อมูล อย่าบ้าสถิติ
- วิริยะ = ขยัน อย่าท้อ อย่าฟุ้งซ่าน อย่าเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึก
- ปิติ = หากสำเร็จ จะเกิดปิติ แต่อย่าหลงลำพอง หากไม่สำเร็จก็อย่าท้อ ตั้งสติใหม่ วางแผนใหม่ อย่าทำลายลูกน้องซึ่งเป็นทรัพยากรของเรา คุยเปิดใจ หรือโสเหล่ (dialogue) บ่อยๆ
- ปัสสัทธิ = สงบ ระงับใจ
- สมาธิ = ต่อเนื่อง
- อุเบกขา = เกิดปัญญา เป็นมืออาชีพ