Learning How to Learn: Powerful mental tools to help you master tough subjects เป็นวิชาออนไลน์ใน MOOC Coursera ที่มีผู้เรียนมากกว่า 2.2. ล้านคนทั่วโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งภาษาไทยด้วย สอนโดย ดร.บาบาร่า โอ็คเล่ย์ (Dr. Barbara Oakley) จาก McMaster University และ ดร.เทอเรส ไซนอฟสกี้ (Dr. Terrence Sejnowski) จาก University of California San Diego
ผู้เขียนเคยลงเรียนวิชานี้ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และได้รับประกาศนียบัตรมาแล้วด้วย ทุกวันนี้ยังประทับใจในเนื้อหาและวิธีการสอน ว่าเรียบง่ายและได้ประโยชน์ต่อการนำมาใช้ในชีวิตจริง จึงอยากจะนำเกร็ดความรู้จากการเรียนมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ค่ะ
What is Learning ?
การเรียนรู้คืออะไร? เมื่อเราไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง เราจะทำอย่างไร? สมองมีความสามารถในการเรียนรู้ที่น่าทึ่ง ถ้าเราเข้าใจวิธีการทำงานของสมอง เราจะสามารถเรียนรู้ได้ลึกซึ้ง เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น และท้อแท้น้อยลง คนเรามีการคิดอยู่ 2 รูปแบบ การคิดโหมดจดจ่อ (Focused Mode) และ การคิดโหมดกระจัดกระจาย (Diffuse Mode) เราไม่สามารถใช้สองโหมดในเวลาเดียวกันได้ เวลาที่คิดจดจ่อใช้สมาธิมากๆ อาจคิดไม่ออก ให้ใช้เทคนิคที่ โทมัส อันวา เอดิสัน นักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก ก็ใช้เช่นกัน คือการนั่งผ่อนคลาย ปล่อยความคิดเป็นอิสระ คิดถึงสิ่งที่กำลังจดจ่อเพียงลางๆ ในมืออาจถือของบางอย่างเอาไว้ เช่น ลูกกุญแจ พอเคลิ้มหลับ กุญแจร่วงตกลงพื้น จะทำให้ตื่น สมองจะรวบรวมความคิด (Idea) ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจาก Diffuse Mode กลับเข้าสู่ Focused Mode และเชื่อมโยงเอาความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมาใช้ต่อยอดได้ด้วย
สรุปคือ เวลาที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ไม่เคยทำมาก่อน หรือทำอะไรที่ค่อนข้างยาก ต้องมีโอกาสสลับสมองไปมาระหว่างทั้งสองโหมด จะช่วยให้เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Procrastination and Memory
ทุกคนล้วนมีปัญหากับการผัดวันประกันพรุ่ง (Procrastination) เวลาเรามีสิ่งที่ไม่อยากจะทำ จะเป็นการกระตุ้นส่วนของสมองที่สัมพันธ์กับความเจ็บปวด สมองจะหาทางหยุดตัวกระตุ้นเชิงลบนี้ โดยการหันเหสมาธิไปจดจ่อกับสิ่งอื่น วิธีแก้ไข เราจะใช้เครื่องมือฝึกความคิดง่ายๆ ที่เรียกว่า โพโมโดโร (Pomodoro) โพโมโดโรเป็นภาษาอิตาเลียน หมายถึงมะเขือเทศ เป็นเครื่องจับเวลาหน้าตาเหมือนมะเขือเทศ ให้ตั้งเครื่องจับเวลาไว้ 25 นาที ปิดสิ่งรบกวนทุกอย่าง ทำสมาธิจดจ่อกับความคิดให้เต็มที่ เป็นการจดจ่อที่กระบวนการ (Process) ไม่ใช่ที่ผลลัพธ์ (Product) หรือความสำเร็จ จากนั้นให้สมองได้พัก ปล่อยให้สมองหันเหไปกับสิ่งที่ทำให้มีความสุขซักพักหนึ่ง ให้รางวัลเล็กๆน้อยๆ กับตัวเอง เช่น เล่นเน็ต socia media ดื่มกาแฟ ทานขนม บิดขี้เกียจหรือคุยเล่นเรื่อยเปื่อย มองหาตัวกระตุ้นที่ทำให้เราอู้ ไม่ยอมทำงานยากด้วยความเคยชิน พยายามเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนบรรยากาศการท่องหนังสือ ไปนั่งอ่านใน Quiet Zone ของห้องสมุด เป็นต้น
การเรียนเกินจำเป็น อาจทำให้จำข้อมูลบางอย่างฝังแน่นในสมอง เป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เราสามารถใช้เวลาในการอ่านหนังสือให้มีค่ามากขึ้น ด้วยการจำแบบเว้นระยะ และเรียนรู้สิ่งที่หลากหลาย
ตัวอาจารย์ผู้สอนเอง คือ ดร.บาบาร่า โอ็คเล่ย์ (Barbara Oakley) ตอนเด็กๆ เกลียดวิชาคณิตศาสตร์มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นอาจารย์สอนวิศวกรรมไปได้ ในอดีตเคยทำงานเป็นทหาร เป็นนักแปลภาษารัสเซีย และเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมวิทยุที่สถานีวิทยุแอนตาร์กติกาที่ขั้วโลกใต้ที่หนาวเย็นมาก ไม่ได้เก่งคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เกิด วิธีที่ท่านประสบความสำเร็จ คือ “Practice makes Permanent” ค่อยๆ เรียนรู้เคล็ดลับบางอย่าง ไม่พยายามเรียนรู้ด้วยการอัดยัดทุกอย่างเข้าไป เพราะจะปนกันมั่วไปหมด ดูสับสน และมีพื้นฐานที่แย่ เปรียบเสมือนนักยกน้ำหนัก ที่สร้างกล้ามเนื้อได้สำเร็จด้วยการออกกำลังกายทุกๆวัน
คนเรามีความจำสองชนิดหลัก ได้แก่ ความจำส่วนปฏิบัติการ (Working Memory) และ ความจำระยะยาว (Long-term Memory) ความจำส่วนปฏิบัติการ คือความจำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้น นักวิจัยส่วนมากเชื่อว่า ความจำส่วนปฏิบัติการมีอยู่อย่างจำกัด สามารถใส่ความคิดหรือกลุ่มก้อนความคิดได้แค่ครั้งละ 4 อย่างเท่านั้น มีช่องสำหรับใส่ข้อมูล 4 ช่อง อยู่บริเวณสมองกลีบหน้าผากส่วนหน้า เมื่อเราตั้งสมาธิจดจ่อกับอะไรบางอย่าง เปรียบเสมือนมีปลาหมึกอยู่ในสมอง ปลาหมึกแห่งสมาธิจะยื่นเอาหนวดของมัน ไปยังช่อง 4 ช่องนี้ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่เดิมในส่วนต่าง ๆ ของสมอง เพื่อดึงความจำระยะยาวมาใช้ได้ การเก็บเอาความจำระยะสั้นเข้าสู่ความจำระยะยาว ต้องทวนอย่างน้อยสองสามครั้ง เพื่อเพิ่มโอกาสในการจำข้อมูล เมื่อเราเครียด ปลาหมึกแห่งสมาธิมักจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความเชื่อมโยง นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมสมองจึงทำงานได้ไม่ดี เมื่อเรา โกรธ เครียด หรือกลัว
โกดังความจำระยะยาวมี ความจุขนาดใหญ่มาก มีพื้นที่ให้เก็บของได้เป็นพันล้านอย่าง จริงๆแล้ว ข้อมูลในความจำระยะยาวอาจมีมาก และทับถมกันจนยากแก่การหาข้อมูลที่ต้องการใช้ ยกเว้นจะมีการฝึกซ้อมและทบทวนหลายๆครั้ง อย่างไรก็ตาม การพยายามยัดบางอย่างเข้าในความจำ ด้วยการทวนซ้ำๆ หลายๆ รอบในคืนเดียว ได้ผลไม่ดีกับการเชื่อมต่อของระบบประสาทในสมอง เท่าการทบทวนจำนวนครั้งเท่ากัน แต่ใช้เวลาหลายวัน มันก็เหมือนกับการสร้างกำแพงอิฐ ถ้าไม่ปล่อยเวลาให้ปูนแห้ง เราจะไม่ได้โครงสร้างที่ดี
การนอนหลับ หรือการงีบหลับ เป็นเทคนิคที่สำคัญของการเรียนรู้ การนอนหลับจะทำให้สมองได้รับการอัพเกรด แม้บางครั้งดูจะเป็นการเสียเวลา ที่จริงแล้วเป็นวิธีการที่สมองใช้เพื่อทำให้ตัวเองสะอาดและแข็งแรง เมื่อตื่นขึ้นมา จะทำให้เราคิดวิธีแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น ระหว่างนอนหลับ สมองจะทำการจัดระเบียบ ลบส่วนของความทรงจำที่สำคัญน้อยกว่าทิ้งไป ทำให้ส่วนที่ต้องการจดจำฝังแน่นขึ้น
Chunking
กลุ่มก้อนความคิด (Chunk) คือ หีบห่อที่อัดแน่นด้วยข้อมูล ซึ่งสมองสามารถเข้าถึงได้ง่าย ขั้นตอนแรกของการได้มาซึ่งความเชี่ยวชาญในวิชาการสาขาใดก็ตาม คือการสร้างกลุ่มก้อนความคิด การจดจ่อฝึกฝน และทบทวนบ่อยๆ เพื่อสร้างร่องรอยความคิดที่แข็งแรง จะช่วยให้เราสร้างกลุ่มก้อนความคิดได้
เส้นทางสู่ความเชี่ยวชาญนั้น ถูกสร้างทีละเล็กละน้อยและขยายใหญ่ขึ้นมา เราไม่จำเป็นต้องจำรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมด แต่ให้เข้าใจไอเดียหลัก หรือกลุ่มก้อนความคิด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
วิธีการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ ให้ศึกษาแนวคิดหรือแกนหลักก่อน เมื่อศึกษาส่วนนี้เสร็จแล้ว ค่อยต่อเติมรายละเอียดลงไป แม้ว่าจะมีส่วนขาดหายอยู่บ้าง เราก็ยังเห็นภาพรวม
การเรียนรู้เกิดขึ้นในสองทิศทาง คือ
- Bottom up learning การสร้างกลุ่มก้อนความคิด (Chunking) จากล่างขึ้นบน ด้วยการฝึกฝนและทบทวน ซึ่งช่วยสร้างและทำให้แต่ละกลุ่มก้อนแข็งแรง ง่ายต่อการเข้าถึง
- อีกทิศทางคือ Top down learning การมองภาพรวม (Big picture) จากบนลงล่าง ซึ่งทำให้เห็นว่าสิ่งที่กำลังเรียนรู้ควรอยู่ตรงไหน
ส่วนตรงที่การเรียนแบบบนลงล่าง และล่างขึ้นบนมาบรรจบกัน นั้นคือ บริบท (Context) การสร้างกลุ่มก้อนความคิด เกี่ยวกับการเรียนรู้เทคนิคการแก้ปัญหาบางอย่าง การเพิ่มบริบท คือ การเรียนรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะใช้เทคนิคนั้น ไม่ใช่เทคนิคอื่น
การทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน เช่น เปิดทีวีค้างไว้ คอยเช็คมือถือ รับโทรศัพท์ และเช็คอีเมล์ อยู่เรื่อยๆ จะทำให้การสร้างกลุ่มก้อนความคิดได้ยากขึ้น เพราะสมองไม่ได้จดจ่อกับเนื้อหาใหม่ๆ อย่างแท้จริง ถ้าพูดเปรียบเทียบ อาจกล่าวได้ว่า หนวดปลาหมึกของเราไม่สามารถเอื้อมไปได้ดีนัก ถ้าบางหนวดต้องถูกเอาไปใช้ทำงานอย่างอื่น ทั้งๆที่เรามีความจำส่วนปฏิบัติการ (Working Memory) อยู่จำกัด
ในวิชาที่เกี่ยวข้องคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การปิดหนังสือ และทดสอบตัวเอง ว่าสามารถตอบคำถามที่เราคิดว่าเข้าใจแล้ว ด้วยตัวเอง จะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น ครั้งแรกที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ คือ เมื่อเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้ด้วยตัวเองจริงๆ หลักการนี้เหมือนกันในหลายแขนงวิชา การมองภาพวาดของคนอื่นด้วยความเข้าใจ ไม่ได้แปลว่า จะวาดภาพนั้นได้ด้วยตัวเอง แค่การฟังเพลงเพลงหนึ่ง ไม่ทำให้มีความเชี่ยวชาญที่จำเป็นสำหรับการร้องเพลง การลงมือทำด้วยตัวเองเท่านั้นที่จะช่วยสร้างรูปแบบประสาทที่เป็นพื้นฐานของความชำนาญที่แท้จริง
การระลึก (Recall) และ ภาพลวงของความสามารถในการเรียนรู้ (Illusion of Learning)
การระลึก คือ การดึงความคิดที่เป็นกุญแจสำคัญ ออกมาจากความจำ ไม่ใช่แค่การอ่านหรือดูซ้ำๆ มันจะช่วยให้เวลาที่เรียนมีสมาธิและประสิทธิผลมากขึ้น ผู้เรียนอ่านเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ แล้วทบทวนด้วย การระลึก (Recall) เนื้อหาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นอ่านซ้ำอีกรอบ แล้วทำการระลึกอีกรอบ เพื่อพยายามจำกุญแจสำคัญ ซ้ำอีกครั้ง ผลที่ได้คือ ในระยะเวลาเท่ากัน การทบทวนและการระลึก (Recall) จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้มากกว่า และลึกซึ้งกว่า แค่ใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง รวมถึงการอ่านซ้ำอย่างเดียวหลายๆรอบ หรือแม้แต่การวาดแผนผังความคิด ที่จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ในเนื้อหาที่เรียนอยู่
กระบวนการระลึก ช่วยหยั่งความรู้ให้ลึกขึ้น และช่วยให้เราสามารถสร้างกลุ่มก้อนความคิดได้ แทบจะเหมือนว่า กระบวนการระลึก ช่วยสร้างตะขอประสาทเล็กๆ ซึ่งเราใช้เกี่ยวความคิดของเรา
เวลาเดียวที่การอ่านซ้ำดูจะได้ผล คือเมื่อเราปล่อยให้มีระยะเว้นว่าง ระหว่างการอ่านซ้ำแต่ละครั้ง ให้มันเป็นการฝึกด้วยการจดจำแบบเว้นระยะ แค่การอยากเรียนรู้เนื้อหา และใช้เวลาปริมาณมากไปกับมัน ไม่ได้รับประกันว่าจะเข้าใจมันจริง วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เราเรียนรู้ และหยุดหลอกตัวเอง ด้วยภาพลวงของความสามารถในการเรียนรู้ (Illusion of Learning) คือการทดสอบตัวเอง ด้วยเนื้อหาอะไรก็ตามที่เรียนรู้อยู่พูดอีกนัยหนึ่ง คือ การระลึกเนื้อหานั่นเอง มันทำให้เห็นว่า เราเข้าใจเนื้อหาจริงหรือไม่
การเน้นข้อความและขีดเส้นใต้ เวลาอ่านหนังสือ ต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว อาจทำให้เข้าใจผิด เหมือนกับว่า การใช้มือขยับไปมา เพื่อเน้นข้อความ เป็นการหลอกตัวเองว่าได้เอาแนวคิดนั้นใส่ในสมองแล้ว ถ้าจะขีดเขียนในเนื้อหา ให้พยายามมองหาแนวคิดหลักก่อนจะขีดเขียนลงไป พยายามเน้นข้อความ และขีดเส้นใต้ให้น้อยที่สุด น้อยกว่าหรือเท่ากับหนึ่งประโยค ต่อหนึ่งย่อหน้า ในทางกลับกัน การเขียนหมายเหตุหรือจดโน้ตย่อเอาไว้บริเวณขอบกระดาษ เพื่อเป็นการสรุปแนวคิดหลัก เป็นไอเดียที่ดี
ยังมีอีกเคล็ดลับหนึ่ง คือ ให้เปลี่ยนบรรยากาศไปอ่านหนังสือในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จะช่วยให้เป็นอิสระ จากปัญหาที่เกิดจากการสอบ ในสถานที่ที่ต่างจากที่เราใช้อ่านหนังสือ
Renaissance Learning and Unlocking Your Potential
เคล็ดลับที่จะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น คือ 1) การออกกำลังกาย (Physical Exercise) ในบางส่วนของสมอง มีเซลล์ประสาทเกิดใหม่ทุกวัน เซลล์ประสาทใหม่เหล่านี้ ช่วยให้เรียนรู้สิ่งใหม่ แต่มันจะตายหากไม่ได้ใช้งาน สิ่งที่น่าสนใจคือ การออกกำลังกายช่วยให้เซลล์ประสาทใหม่ๆ มีชีวิตต่อไปได้ 2) การมองเห็นภาพ 3 มิติ (Three Dimension) ด้วย 2 ตา ซึ่งคนเราสามารถฝึกฝนได้ เป็นเทคนิคที่สามารถช่วยซ่อมแซม และฝึกสมองได้
การสร้างการอุปมา (metaphor) หรือ สิ่งที่คล้ายคลึง (analogy) จะช่วยในการจดจำ เห็นภาพ และเข้าใจหลักการ ตัวอย่างเช่น คำบรรยาย ของครูสอนภูมิศาสตร์ว่า ซีเรียรูปร่างเหมือนถ้วยซีเรียล และจอร์แดนเหมือนรองเท้า Nike Air ของจอร์แดน จะติดหัวนักเรียน เป็นสิบๆ ปี
ความจำชนิดปฏิบัติการ (Working Memory) ที่ยอดเยี่ยม สามารถยึดความคิดได้แน่นมาก จนความคิดใหม่ๆไม่สามารถแทรกมาได้ สมาธิจดจ่อที่ถูกควบคุมขนาดนี้ควรจะต้องมีช่วงที่วอกแวกมาแทรกบ้าง พูดอีกนัยหนึ่งคือ การหันเหสมาธิไปสิ่งอื่น ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่ไม่สามารถจำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน เสียสมาธิและ เริ่มฝันกลางวันระหว่างคาบเรียน และจำเป็นต้องหาที่สงบเพื่อจะจดจ่อสมาธิ แสดงว่าคุณเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์
นักเล่นหมากรุก แพทย์ห้องฉุกเฉิน นักบินรบ และอีกหลายสาขาวิชา ล้วนต้องทำการตัดสินใจที่ซับซ้อน ในเวลาสั้นๆ พวกเขาปิดระบบการคิด แล้วหันไปใช้สัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาอย่างดี ดึงเอากลุ่มก้อนความคิดที่ถูกฝังลึกมาใช้ในบางครั้ง การมานั่งคิดไตร่ตรองว่า ทำไมตัวเองถึงทำอะไรบางอย่าง จะทำให้เราช้า และรบกวนกระบวนการคิด ทำให้ตัดสินใจได้แย่ลง
เราไม่จำเป็นต้องอิจฉาคนที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ (Genious) ถึงแม้คนปราดเปรื่อง จะทำสิ่งที่เหนือธรรมดา แต่พวกเขาก็ผิดพลาด และลำเอียงได้เหมือนกับคนอื่นๆ กุญแจสู่ความสำเร็จ คือความพากเพียร ความสามารถในการเปลี่ยนความคิด และยอมรับความผิดพลาด การเข้าถึงความเชี่ยวชาญเกิดขึ้นเมื่อเราได้ออกนอกเส้นทาง
นี่เป็นเพียงบางส่วนของวิชา Learning How to Learn: Powerful mental tools to help you master tough subjects หากสนใจเทคนิควิธีการเรียนรู้เรื่องที่ยาก โดยไม่ท้อถอย สามารถไปลงทะเบียนเรียนเองได้ที่เว็บไซต์ของ Coursera ค่ะ
https://www.coursera.org/learn/learning-how-to-learn/home/welcome